ศาลอิหร่านสั่งประหารชีวิตผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงเป็นรายแรก

ศาล อิหร่าน ตัดสินประหาร บุคคลรายหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประท้วงรุนแรงและกินเวลา นับเป็นผู้ประท้วงรายแรกที่โดนตัดสินโทษประหาร นอกนั้นศาลยังตัดสินจำคุกผู้ประท้วงอีก 5 ราย

เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2565 สำนักข่าวอัลจาซีราห์ แถลงการณ์ว่า ศาลปฏิวัติในกรุงเตหะราน ของอิหร่าน ตัดสินว่า จำเลยรายหนึ่งซึ่งไม่เปิดเผยนาม มีความผิดในข้อหา “เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า” และ “เผยแพร่การโกงฉ้อฉลบนโลก” เกี่ยวข้องกับเหตุประท้วงความปั่นป่วนก่อไฟเผาศูนย์ราชการ และทำลายความสงบสุขของสาธารณะ ก่อคดีต่อต้านความมั่นคงของชาติ ต้องต้องโทษประหาร โดยเขาเป็นผู้ประท้วงรายแรกที่โดนจับจับตัวฟ้องและได้ต้องโทษประหารชีวิต นับตั้งแต่เริ่มมีการประท้วงร้ายแรงที่อิหร่าน เมื่อกันยายนที่ผ่านมา

ด้านสำนักข่าว IRNA ของอิหร่านแถลงการณ์ว่า มีผู้ประท้วงอีก 5 รายโดนตัดสินติดคุกระหว่าง 5-10 ปี ในข้อหา ทำลายความสงบสุขของสาธารณะ ก่อคดีต่อต้านความมั่นคงของชาติ โดยคำตัดสินของศาลถือเป็นในขั้นต้นและทนายจำเลยสามารถขออุทธรณ์ได้

ทั้งนี้ สถานการณ์ในอิหร่านยังคงวุ่นวายจากการประท้วงในหลายเมืองทั่วประเทศที่ดำเนินมาเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ ภายหลังการเสียชีวิตอย่างมีประเด็นของมาห์ชา อามีนิ หญิงสาวเชื้อสายเคอร์ดิช วัย 22 ปีภายใต้อำนาจบังคับตัวของตำรวจ เมื่อกันยายน2565 ซึ่งบรรดาผู้ประท้วงมั่นใจว่าเธอเสียชีวิตจากการเช็ดกทรมาน ทำร้ายร่างกายในคุก.

ประท้วง อิหร่าน สั่งประหารชีวิต

ศาลอิหร่าน ตัดสินประหารเป็นรายแรก ผู้เข้าร่วม อิหร่าน ต้านรัฐ

วันที่ 14 พ.ย. สถานีวิทยุกระจายเสียงบีบีซี แถลงการณ์ว่า สื่อทางการอิหร่านแจ้งข่าวว่า ศาลอิหร่าน พิพากษ์ประหารผู้โดนจับจับฐานร่วมสำหรับการประท้วงที่ลุกลามไปทั่วประเทศ โดยศาลปฏิวัติในกรุงเตะหรานพบว่า จำเลยที่ไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อ จุดไฟเผาที่กระทำการรัฐบาล และมีความผิดเป็นปฏิบัติต่อพระเจ้า

ขณะกลุ่มสิทธิมนุษยชนอิหร่าน (Iran Human Rights) เตือนว่า ทางการอิหร่านบางทีอาจวางแผนประหารชีวิตอย่างรีบ โดยอ้างรายงานทางการว่า มีผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหาที่สามารถได้ต้องโทษตายได้อย่างน้อย 20 คน

นายมาห์มูด อามีรี-โมกัดดัม ผู้อำนวยการกลุ่มสิทธิมนุษยชนอิหร่าน เรียกร้องให้ชุมชนระหว่างประเทศปฏิบัติการเร่งด่วนและเตือนอิหร่านอย่างแข็งขันถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาสำหรับการประหารกลุ่มผู้ประท้วง

ทั้งนี้ การประท้วงเกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ภายหลังการตายของหญิงสาวรายหนึ่งขณะถูกตำรวจศีลธรรมควบคุมตัวเพราะว่าละเมิดกฎหมายการสวมฮิญาบที่เคร่งครัด มีรายงานการประท้วง 140 เมืองทั่วประเทศ

กลุ่มสิทธิมนุษยชนอิหร่านบอกว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 326 ราย (ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 43 ราย และผู้หญิง 25 ราย) จากการกำจัดอย่างรุนแรงโดยกองกำลังรักษาความมั่นคง

ส่วนสำนักข่าวนักขยับเขยื้อนสิทธิมนุษยชน (Human Rights Activists News Agency – HRANA) ที่อยู่นอกอิหร่านด้วยเหมือนกัน แถลงการณ์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 339 ราย และกลุ่มผู้ประท้วงอีก 15,300 คน ถูกคุมตัว และเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงเสียชีวิต 39 นาย

ด้านชนชั้นนำของอิหร่านวาดภาพการประท้วงว่าเป็น “จลาจล” ที่ศัตรูต่างชาติของประเทศยุยง ล่าสุด เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นายโกลัมฮุสเซน โมห์เซนี เอเจย์ หัวหน้าศาลยุติธรรม ประกาศว่า ควรระบุตัวผู้กระทำผิดคนสำคัญให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และตัดสินคดีโทษที่จะมีผลยับยั้งชั่งใจคนอื่นๆได้

นายเอเจย์เตือนว่า ผู้ก่อความวุ่นวายบางทีอาจถูกตั้งข้อกล่าวหา “โมฮาเรเบห์” (เป็นศัตรูกับพระเจ้า), “เอฟซาด ฟิล-อาร์ซ” (ทุจริตบนโลก) และ “เบกี” (กบฏติดอาวุธ) ทั้งหมดนี้มีโทษประหารในระบบกฎหมายตามชารีอะห์ของอิหร่าน

หัวหน้าศาลกล่าวอีกว่า ผู้ครอบครองและใช้อาวุธหรืออาวุธปืน ก่อกวนความมั่นคงของชาติ หรือฆ่าใคร บางทีอาจได้รับ “กีซาซ” (การตอบโต้ในรูปแบบเดียวกัน) เป็นการตอบตอบสนองต่อการเรียกร้องความยุติธรรมด้วยการลงโทษจากสมาชิกรัฐสภาอิหร่าน 272 คนจากทั้งหมด 290 คน

สื่อท้องถิ่นอ้างเจ้าหน้าที่ศาล มีผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหามากกว่า 2,000 คนจากการมีส่วนร่วมในจลาจลครั้งล่าสุด ในจำนวนนี้ 164 คนอยู่ในจังหวัดฮอร์มอซกัน ด้านใต้ อีก 276 คนอยู่ในจังหวัดมาร์กาซี ตอนกลาง และ 316 คนอยู่ในจังหวัดอิสฟาฮันที่อยู่ใกล้เคียง

ประท้วง อิหร่าน ผู้ต้องหา

ศาลอิหร่านมีคำตัดสินประหารชีวิตผู้ประท้วงรายหนึ่งซึ่งก่อไฟเผาสถานที่ราชการ สำหรับการประท้วงเรียกร้องความยุติธรรให้ “มาห์ซา อามินี”

นับตั้งแต่เรื่องที่ “มาห์ซา อามินี” หญิงชาวเคิร์ด-อิหร่านวัย 22 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 กันยายน หลังถูก “ตำรวจศีลธรรม” จับกุมตัว เพราะว่าไม่สวมใส่ฮิญาบคลุมผมและสวมชุดที่เผยท่อนแขนและขา ก็เกิดเหตุประท้วงร้ายแรงอย่างตลอดในอิหร่าน

จนถึงรัฐบาลตัดสินใจใช้ไม้แข็ง ด้วยการลงมติผ่าน “กฎหมายประหารชีวิตผู้ที่ก่อคดีร้ายแรงต่อเมือง” ซึ่งหมายความรวมถึงเหล่าผู้ประท้วงที่ออกมาเรียกร้องความชอบธรรมให้กับอามินีด้วยความแค้น

และล่าสุดสื่อเขตแดนอิหร่านแถลงการณ์ว่า ศาลอิหร่านได้มีคำพิพากษาประหารผู้ประท้วงรายหนึ่งโดยไม่เปิดเผยชื่อ ซึ่งจุดไฟเผาสถานที่ราชการในระหว่างการประท้วง จากความผิด ฐาน “ก่อกวนความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และการสมรู้ร่วมคิดกันก่ออาชญากรรมต่อความมั่นคงของชาติ ก่อสงครามและความชั่วร้ายบนโลก ก่อสงครามผ่านการลอบวางเพลิง และเจตนาทำลายล้าง”

นอกนั้น ยังมีผู้ประท้วงอีก 5 คนถูกจำเรือนจำ 5-10 ปี ภายใต้ข้อหาก่อกวนความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ และการรวมหัวกันก่อคดีต่อความมั่นคงของชาติ

ตลอดเวลาแทบ 2 เดือนที่ผ่านมาที่เกิดเหตุประท้วง ทางการอิหร่านได้พยายามปราบปรามผู้ประท้วงด้วยความร้ายแรง โดยจับกุมตัวและฟ้องกับผู้ประท้วงแล้วอย่างน้อย 1,000 คน และฆ่าผู้ประท้วงไปแล้วถึง 326 ราย ทำให้นี่เป็นหนึ่งสำหรับการประท้วงที่นองเลือดที่สุดกาลครั้งหนึ่งของอิหร่าน

องค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น (UN) ได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการอิหร่าน “หยุดการใช้โทษประหารชีวิตกับผู้ที่ร่วมหรือถูกป้ายความผิดว่ามีส่วนร่วมสำหรับการชุมนุมอย่างสันติภาพ” และ “หยุดใช้โทษประหารเป็นครื่องมือในการปราบปรามการประท้วง”